เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันปีใหม่.. วันปีใหม่เป็นสมมุติว่าปีใหม่ โลกเขาสมมุติกันว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะวันขึ้นปีใหม่ปีมันหมดไป ๑ ปี.. แต่ถ้าเป็นธรรมนะ วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ เห็นไหม ๒๔ ชั่วโมง นี่ยักษ์ ! มืดกับสว่างมันกินชีวิตเราไปตลอด
โลกเขาให้ของขวัญกัน คนมาภาวนาเมื่อคืนได้ของขวัญไหม ถ้าใครทำความสงบของใจ ถ้าใจเราสงบได้เราจะให้ของขวัญกับตัวเราเอง.. วันปีใหม่นะ เราขึ้นปีใหม่ เช้าขึ้นมาเราลืมตาขึ้นมานั้นคือรางวัลชีวิตนะ ชีวิตนี้มีคุณค่ามาก สรรพสิ่งในโลกนี้มี ทรัพย์สินที่มีเพราะเรามีชีวิตเราถึงเป็นเจ้าของ แต่ถ้าเราหมดอายุขัย เวลาเราสิ้นชีวิตไป ทรัพย์สมบัติทั้งหมดมันจะอยู่กับโลกนี้
เขาให้วัตถุให้ของขวัญกัน เขาเคาท์ดาวน์กันเพื่อความสนุกรื่นเริงของเขา แต่ของเรานี่เราพยายามจะหาสัจจะความจริงของเรา เห็นไหม เขาเคาท์ดาวน์กัน เขามีสังคมของเขา มีความรื่นเริงของเขา เรานั่งพุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่โคนต้นไม้ อยู่ในที่สงบสงัด นี่ความรู้สึกความนึกคิดมันเป็นสภาพแวดล้อม.. ความนึกคิด ความที่มันคิดนี่มันคิดมหาศาลเลย แต่ตัวจิตของเรา เห็นไหม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
ถ้าใครทำความสงบของใจได้นี่มันเป็นสมาธิธรรม.. สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมนี่ของขวัญที่เราจะให้กับตัวเราเอง
ชีวิตของเรานี้มีคุณค่ามาก ! มีคุณค่ามากทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ ความทุกข์ยากนี่ใครทุกข์มากทุกข์น้อยเพราะได้รับการฝึกฝนมาหรือเปล่า ทุกคนศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาว่าเข้าใจทั้งนั้นแหละ เราเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำไมเรายับยั้งตัวเราไม่ได้ ทำไมเรายับยั้งความคิดไม่ได้ เพราะมันขาดการฝึกฝน.. ถ้าฝึกฝนดีมันจะควบคุมใจเราได้ ถ้าเราควบคุมใจเราได้ เห็นไหม นี่ทำไมเราคิดอย่างนี้ ทำไมเรามีความทุกข์อย่างนี้
ความสุขและความทุกข์นี่นะ.. นี่ความจริงแล้วความสุขมันไม่มีหรอก พอทุกข์มันดับไปความสุขก็ชั่วคราว ความสุขความทุกข์นี่มันมีแต่คนยึดมั่นถือมั่นให้ค่ากันไปเอง การให้ค่ามันอยู่ที่มุมมอง ถ้ามุมมองอย่างนั้น มีความรู้สึกอย่างนั้นเราก็มีความสุข แต่ถ้าความขัดแย้งใจ ความไม่พอใจมันก็เป็นความทุกข์นะ
ถ้าความทุกข์ความสุขเกิดขึ้นมานี่มันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ เกิดขึ้นมาจากเราไม่มีสติ เราไม่มีการฝึกฝน ถ้าเรามีการฝึกฝนนะ เราฝึกฝนของเราเพื่อประโยชน์ของเรา เราจะให้รางวัลชีวิตของเรานะ ชีวิตของเรานี่เราให้ของขวัญเราเอง
ถ้าเราให้ของขวัญเราเอง นี่ทางโลกเขาให้วัตถุข้าวของเงินทองกัน ในพุทธศาสนาให้ปัญญา ให้สติ ให้สมาธิ ให้มีปัญญา ถ้าเรามีปัญญานะเราจะหาเงินทองได้มหาศาลเลย เรามีสติมีปัญญา เราจะหาเงินหาทองได้ขนาดไหนเราก็หาได้ แต่ถ้าเราขาดสติเราขาดปัญญา เราทำสิ่งใดมันก็ไม่เป็นประโยชน์กับเราหรอก.. มันทำสิ่งใด เห็นไหม ประโยชน์เพราะโลกกัน นี่ทางสังคมเขาติฉินนินทากัน หรือเขาสรรเสริญกัน นั่นโลกธรรม ๘
โลกธรรม ๘ นี้เป็นธรรมะเก่าแก่ มันมีอยู่ประจำโลก ฉะนั้นเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ถ้าเราแคร์สังคมจนมากเกินไป นี่โลกเป็นใหญ่ แต่ถ้าเราแคร์กับคุณธรรมศีลธรรมมากเกินไป เขาว่าคนนี้คนที่แบบว่าไม่ฉลาด.. ความฉลาดนี่ฉลาดของใคร ถ้าความฉลาดในโลก เห็นไหม สิ่งนี้เราแสวงหามาเพื่อเรา แต่ถ้าเราฉลาดในธรรมนะ เรามีสิ่งใดเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยพอประมาณ สิ่งที่เรามีสติปัญญา หรือว่าเขาว่าเราจะโง่แต่เราฉลาดกับตัวเราเอง เพราะคุณงามความดีจะติดกับใจเราไป
สิ่งที่เป็นคุณงามความดี เห็นไหม คุณงามความดี การเสียสละ การจาคะ การช่วยเหลือเจือจานกัน แต่การช่วยเหลือเจือจานกัน ถ้าใครเป็นคนใจบุญคนนั้นจะอยู่ไม่เป็นสุขเลย จะมีคนมารุมล้อมอยู่กับคนๆ นั้นคนเดียว เพราะคนๆ นั้นเป็นคนใจบุญ การเป็นคนใจบุญ เราก็ต้องมีสติปัญญาของเรา เราจะช่วยเหลือเจือจานใคร เราต้องช่วยเหลือเจือจานของเรา นี่พูดเป็นทางธรรมนะ
แต่ถ้าเป็นทางโลกนั้นเป็นการสร้างภาพ ทุกคนจะเป็นคนดีเป็นการสร้างภาพ แต่สร้างภาพขึ้นมาเบื้องหลังเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นธรรม ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง.. หลวงตาพูดประจำ นี่มันเสมอภาคกัน ไม่มีลูบหน้าปะจมูก แต่ทางโลกเขามีลูบหน้าปะจมูกนะ นี่คือทางโลก
นี้พูดถึงวันขึ้นปีใหม่.. เราศึกษา เราใช้ปัญญา เราเข้าใจของเราว่าชีวิตของเรา เห็นไหม เรามีชีวิต ตื่นขึ้นมาเรายังมีลมหายใจอยู่ สิ่งนี้เป็นรางวัลของเรา รางวัลของเรา เราตื่นขึ้นมาเรายังมีความรู้สึกอยู่ ยังมีสติปัญญาของเราอยู่นี้คือรางวัลชีวิตของเรานะ.. สิ่งที่เป็นภาระแบกหามคือความนึกคิดของใจ สิ่งที่เป็นภาระแบกหามความนึกคิดของใจนี่เราค่อยแก้ไขของเราไป
ถ้าพูดถึงมีอุปสรรคสิ่งใด.. มีอุปสรรค เห็นไหม พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย.. การเสียสละมา ดูสิ เวลาเป็นพระเวสสันดร เสียสละตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทองจนชาวบ้านเขารับไม่ได้ นี่เวลาเข้าป่าไปกัณหาชาลีก็สละ แม้แต่นางมัทรีก็สละ ความสละอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมีเข็มมุ่ง ถึงที่สุดชาติสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเสียสละทั้งภรรยา เสียสละทั้งบุตร ทุกๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะปรารถนาโพธิญาณ นี่ตรัสรู้เองโดยชอบ
พวกเราไม่เสียสละหรอก พวกเรานี่มันเป็นสาวก สาวกะไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ต้องทำขนาดนั้น แต่พูดถึงเวลาผู้ที่จะมีเชาว์ปัญญา ผู้ที่จะตรัสรู้เองโดยชอบ การเสียสละอย่างนั้นเสียสละเพราะอะไร เพราะความยึดติดของใจ ใจถ้ามันยึดติดมันก็ไม่มีสิ่งใดหรอก มีสิ่งนี้เท่านั้น มีความผูกพัน ความรักใคร่นี่สิ่งนี้มันเป็นความผูกพันมาก
การเสียสละอย่างนั้น.. การเสียสละอย่างนั้นโดยหวังโพธิญาณ การเสียสละด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อ มันยังมีความผูกพันนะ เพราะคนยังมีกิเลสอยู่ คนยังมีความรู้สึกความผูกพันอยู่นะ ดูสิ ดูเวลาเสียสละกันไป เห็นไหม กัณหาชาลีนี่วิ่งหนีเลย พ่อจะเสียสละลูกได้อย่างไร แต่พอเวลาพ่อเสียสละนะ สิ่งนี้สิ่งที่เสียสละลูกเสียสละเพื่ออะไร พูดให้เข้าใจ.. พูดให้เข้าใจว่าเสียสละไปเพื่ออะไร
สิ่งที่เสียสละไปนี่กรรมเก่ากรรมใหม่ คนเรามันมีกรรมเก่ามา ทำสิ่งใดมา ดูสิ ดูเวลาเชาว์ปัญญาทุกคนอยากมีปฏิภาณ ทุกคนอยากมีไหวพริบ ทุกคนอยากมีปัญญา นี่สิ่งที่เราสร้างมา เวลาเราสร้างมา เราทำมา เราฝึกฝนมา พันธุกรรมทางจิตมันฝึกฝนของมันมา เวลาเรามาวัดมาวา เรามานั่งสมาธิภาวนากัน เราก็จะมาสร้างตรงนี้
นี่ฉลาดทางโลก ฉลาดทางโลกคือวิชาชีพ คืออาชีพ คือปัญญาที่เราคิดกันทางวิชาชีพ ฉลาดทางธรรมคือเอาชนะตัวเอง.. ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิดของเรานี่เรามีปัญญาอีกชั้นหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง
โลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา
โลกียปัญญานี่ความคิดทางโลก วิชาชีพนี่โลกียปัญญา เกิดจากภพ เกิดจากอวิชชา เกิดจากหัวใจของเรา โลกุตตรปัญญาเกิดจากจิตสงบ จิตสงบมันไม่มีกิเลส มันไม่มีอวิชชาครอบงำ เวลามันเกิดโลกุตตรปัญญา เห็นไหม นี่ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร.. สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง นี่มันควบคุมตัวเองได้หมด แล้วมันควบคุมแล้วมันจะชำระสะสางของมันไป
นี้คือรางวัลชีวิตนะ.. รางวัลของเรา เราใช้ชีวิตของเรา ชีวิตนี่ตั้งแต่เรามีชีวิตอยู่นี้เราก็ได้ของขวัญมาแล้ว ของขวัญคือบุญกุศลที่สร้างให้เรามาเป็นมนุษย์นี้ ของขวัญที่เรายังมีชีวิตอยู่อีก ๑ ปี อีก ๑ ปี อีก ๑ ปี.. นี้คือรางวัลชีวิตของเรา แล้วสิ่งที่เราจะสร้างคุณสมบัติของเรา มีปัญญาของเรา เราจะรื้อค้นในหัวใจของเรานั้นมันเป็นอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม ฉะนั้นถึงมีทาน ระดับของทาน.. พวกเรานี่ระดับของทาน
ระดับของศีลคือความรักษาความปกติของใจ ระดับของศีลก็พวกฤๅษีชีไพร พวกถือศีลนะระดับของศีล.. ระดับของปัญญา.. ศีล สมาธิ ปัญญา ! ปัญญานี้ภาวนามยปัญญา ปัญญาในพุทธศาสนานี่มันจะแก้ไขกิเลส มันจะแก้ไขสิ่งที่เป็นของขวัญชิ้นมหาศาล เป็นวิมุตติ เห็นไหม
โลกกับธรรม โลกเขาให้วัตถุสิ่งของต่อกัน.. ธรรม ! ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปัญญา ให้คนฉลาด ให้สังคมนั้นร่มเย็นเป็นสุข สันติ สงบ ร่มเย็น.. ความสุขสงบสันติ..
สุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ฉะนั้นคนที่หยาบ.. หยาบหมายถึงว่าเขาเห็นความสงบอย่างนี้ไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ได้ว่าสงบได้อย่างไร มีความสุขได้อย่างไร จิตสงบจิตนิ่งๆ มันมีความสุขได้อย่างไร.. ฉันสนุกครึกครื้นของฉันแต่ฉันมีความสุข นั่นมีความคิดอันหนึ่ง แต่พอจิตมันพัฒนาขึ้นไปมันก็รู้ว่าสิ่งนี้มันก็เป็นอนิจจัง มันก็เป็นของโลกของชั่วคราว มันก็จะหาความสุขอันที่เป็นจริงขึ้นมาอีกอันหนึ่ง นี่จิตมันพัฒนาขึ้นมา
แล้วครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จะเอาความจริงขึ้นมาก็พยายามจะให้มันสงบลึกซึ้งเข้าไป ปัญญาลึกซึ้งเข้าไป นี่มันปัญญาที่ชำระกิเลส ไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราคิดกันอยู่นี้หรอก
ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี้เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากอวิชชา เพราะ ! เพราะจิตคือภพของเรานี่มันมีอวิชชา แล้วปัญญาเกิดจากสิ่งนี้มันก็ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แต่เราทำความสงบของใจ แล้วฝึกฝนหัดใช้ปัญญาของเราไปบ่อยครั้งเข้า มันก็จะย้อนกลับมาให้สงบมากขึ้น มันจะให้เป็นความสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น
สะอาดบริสุทธิ์ในระดับของศีลนะ สะอาดบริสุทธิ์ในระดับของสมาธิ ถ้ามีสมาธินี่จิตมันสงบ จิตที่มันเป็นหนึ่งเพราะมันไม่มีสิ่งใดยุแหย่มันมันถึงเป็นหนึ่ง นั่นล่ะคือความสุขสงบ นั่นล่ะคือความสงบของใจ คือความสะอาดของใจในระดับของสมาธิ แล้วถ้ามันระดับของปัญญานี่มันจะรื้อค้นเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วค่อยแก้ไขเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง นั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง เห็นไหม
คือใจของคนมีหยาบ-ละเอียด แม้แต่พระอรหันต์ยังมีเอตทัคคะ พระอรหันต์ยังมีมุมมอง พระอรหันต์ยังมีวิธีการแตกต่างกันไป มันอยู่ที่การสร้างของเรานี่แหละ เราถึงบอกว่าจิตของคนมันเหมือนลายนิ้วมือ เวลาเราพิมพ์นิ้วมือนี่จะไม่เหมือนกันซักคนหนึ่ง
ความรู้สึกนึกคิดของคนไม่เหมือนกันเลย ! ไม่เหมือนกันเลย ! นี่พันธุกรรมทางจิตมันไม่เหมือนกันเพราะการสร้างมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่จิตมันสร้างของมันมา ถ้าสร้างของมันมานี่เรามาแก้ไข ที่เรามาทำบุญกุศลกันอยู่นี่เพราะเหตุนี้ไง เหตุที่เราทำบุญกุศลเพื่อให้พันธุกรรมของมัน ลายนิ้วมือ ลายของจิต นี่ผลบุญของมันพัฒนาขึ้นมา แล้วถ้ามีปัญญาขึ้นมาเราจะเห็นคุณงามความดี
จิตสงบ เห็นไหม สุขใดเท่ากับความสงบของใจ.. สุขใดเท่ากับปัญญาที่พิจารณาแก้ไขของหัวใจให้พ้นออกไป นั้นคือรางวัลชีวิตในพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่ปฏิเสธ ! ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ปฏิเสธทุกๆ อย่าง..
ในพุทธศาสนา อริยสัจ ! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. สัจจะความจริงที่มันได้พิสูจน์ นี่เชื่อตรงนี้ แล้วผลของมันเกิดที่นี่ ไม่มีใครตัดสินเราได้ ! ไม่มีใครชี้นำเราได้ !
ครูบาอาจารย์อาจารย์เพียงแต่เทศนาว่าการนี่เป็นบอกทาง แล้วเราเป็นคนพิสูจน์ตรวจสอบ แล้วมันจะเป็นอริยสัจ สัจธรรมจะเกิดกับหัวใจของเรา แล้วเราจะเข้าใจตามความเป็นจริง สิ่งนี้คือรางวัลชีวิตของเรานะ..
รางวัลชีวิตคือมีสติ มีปัญญา ไม่ไหลไปกับโลก เราเกิดมากับโลก อยู่กับโลก แล้วเราจะทำประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจของเรามากหรือน้อยแค่ไหน มันอยู่ที่วุฒิภาวะของจิตที่เราจะแสวงหาได้เนาะ นี้คือวันขึ้นปีใหม่.. ปีใหม่.. ชีวิตใหม่ เพื่ออุดมการณ์ใหม่ เรามีความเห็นใหม่กับชีวิตของเรา เอวัง